บทละครนอก เรื่องแก้วหน้าม้า เป็นวรรณคดีพระราชนิพนธ์ ของกรมหลวงภูวเนตรนรินทรฤทธิ์ พระราชโอรสลำดับที่ 35 ในพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย กับเจ้าจอมมารดาศิลา พระนิพนธ์ขึ้นในสมัยรัชกาลที่ 3 นอกจากพระนิพนธ์เรื่องแก้วหน้าม้าแล้ว ยังทรงมีผลงานพระนิพนธ์อื่นๆ เช่น บทละครนอกเรื่องยอพระกลิ่น โคลงนิราศฉะเชิงเทรา บทละครนอกโม่งป่า และเพลงยาวสังวาสอีกหลายสำนวน
นิทานพื้นบ้าน เรื่อง แก้วหน้าม้า
กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว มีเมืองอยู่เมืองหนึ่งชื่อว่า “มิถิลา” เมืองนี้ปกครองโดยกษัตริย์ทรงพระนามว่า “ภูวดลมงคลราช” พระองค์มีพระมเหสีทรงพระนามว่า “พระนางนันทา” ทั้งสองพระองค์ มีพระโอรสทรงพระนามว่า “ปิ่นทอง” พระนครเจริญรุ่งเรืองและสงบสุข…ส่วนนางแก้วหน้าม้าเป็นธิดาสามัญชนชาวเมืองมิถิลา เหตุที่นางมีชื่อเช่นนี้เพราะก่อนตั้งครรภ์ผู้เป็นมารดาได้ฝันว่าเทวดานำแก้วมาให้ พอให้กำเนิดบุตรสาวเลยตั้งชื่อว่า “แก้ว” แต่เนื่องจากใบหน้าเหมือนม้า ชาวบ้านเรียกว่า “นางแก้วหน้าม้า” นางแก้วนั้นวัยไล่เลี่ยกับพระปิ่นทอง พระโอรสเมืองมิถิลา …พระปิ่นทองนั้นมีรูปลักษณ์ที่สวยอย่างชายชาตรี มีญาณวิเศษสามารถล่วงรู้ลมฝนจึงเป็นที่รักใคร่ของชาวบ้าน
มีวันหนึ่งพระปิ่นทองได้มาขออนุญาติพระบิดากับพระมารดาออกไปเล่นว่าวที่ทุ่ง พระบิดามารดาก็ได้อนุญาติ…พระปิ่นทองได้ออกมาเล่นว่าวซึ่งลมแรงมาก ว่าวของพระปิ่นทองได้หลุดมือและปลิวไปไกลทำให้ทหารที่มากับพระปิ่นทองวิ่งตามว่าว …ซึ่งนางแก้วเก็บว่าวจุฬาได้และดีใจจะเก็บไว้เล่นเอง …เมื่อพระปิ่นตามมาขอว่าวคืน …นางแก้วขอสัญญากับพระโอรสว่าต้องมารับนางเข้าวังไปเป็นมเหสี …พระปิ่นได้ยินแก้วพูดก็ทรงโกรธมากและคิดว่าหญิงผู้นี้พูดจาโยกโย้น่ารำคาญ พระองค์เกลียดนางยิ่งนักเมื่อเห็นนางมีใบหน้าที่ประหลาด …แต่ก็ได้รับปากเพียงเพราะหวังอยากได้ว่าวคืน
รออยู่หลายวันไม่เห็นพระปิ่นทองมารับ …นางแก้วจึงเล่าเรื่องให้พ่อกับแม่ฟังและขอให้ไปทวงสัญญา …เมื่อพ่อแม่ไปทวงสัญญากับพระปิ่น ท้าวภูวดลกริ้วตรัสให้นำตัวไปประหาร แต่พระนางนันทาได้ทัดทานพร้อมเรียกพระโอรสมาสอบถาม …พระปิ่นทองยอมรับว่าสัญญาจะให้มาอยู่กับสุนัข …เมื่อพระปิ่นทองสัญญาแล้ว พระนางนันทาสั่งให้ไปรับตัวนางแก้วมาอยู่ในวัง ครั้งไม่มีวอทองมารับสมกับตำแหน่งมเหสี นางแก้วก็ไม่ยอมไป …จนในที่สุดนางแก้วได้นั่งในวอทอง พร้อมกับแต่งตัวสวยพริ้ง …พอมาถึงวังหลวง ท้าวภูวดลกับพระปิ่นทองเห็นนางแก้วรูปร่างหน้าตาน่าเกลียด กริยามารยาทกระโดกกระเดกก็ทนไม่ได้ คิดหาทางกำจัดนางแก้ว แต่พระนางนันทานึกเอ็นดู …นางแก้วเข้าวังมาไม่นาน ท้าวภูวดลกับพระปิ่นทองหาทางกำจัดนางแก้ว โดยให้นางแก้วไปยกเขาพระสุเมรุมาไว้ในเมืองภายใน 7 วัน หากทำไม่สำเร็จจะต้องได้รับโทษประหาร แต่ถ้าทำได้จะจัดพิธีอภิเษกสมรสกับพระปิ่นทอง
นางแก้วออกไปตามป่า …เสี่ยงสัตย์อธิษฐานกับเหล่าทวยเทพว่าหากตนเป็นเนื้อคู่ของพระปิ่นทอง …ขอให้พบเขาพระสุเมรุ เดินทางต่อไปอีกสามวัน …พบพระฤาษีรีบเข้าไปกราบและเล่าเรื่องราวทั้งหมด …พระฤาษีมีใจเมตตาจึงช่วยถอดหน้าม้าออกให้ …นางแก้วกลายเป็นหญิงที่งดงามโสภา …แล้วเสกหนังสือเป็นเรือเหาะให้ลำหนึ่งพร้อมมอบอีโต้ไว้เป็นอาวุธ นางแก้วจึงสามารถไปยกเขาพระสุเมรุมาถวายท้าวภูวดลได้สำเร็จ
ส่วนท้าวภูวดลพยายามหาหนทางที่จะเลี่ยงคำสัญญาที่มีต่อนางแก้ว …จึงมอบให้พระปิ่นทองเดินทางไปอภิเษกกับ “เจ้าหญิงทัศมาลี” ราชธิดาของท้าวพรหมทัต …ก่อนเดินทางไปพระปิ่นทองกล่าวว่า …ถ้ากลับมานางแก้วยังไม่มีลูกจะถูกประหาร …นางแก้วนั่งเรือเหาะตามพระปิ่นทองไปแล้วถอดหน้าม้าออก ไปขออาศัยอยู่กับสองตายายในป่า …เมื่อพระปิ่นทองผ่านมา …นางแก้วก็ไปอาบน้ำที่ท่า …พระปิ่นทองเห็นเข้าเกิดหลงรักและไปเกี้ยวพาราณสี จนได้นางแก้วเป็นเมีย …ต่อมานางแก้วตั้งครรภ์ …พระปิ่นทองต้องการกลับกรุงมิถิลาและได้มอบแหวนให้นางแก้ว เพื่อยืนยันว่าเด็กในท้องนางแก้วเป็นลูกของพระปิ่นทองจริง
ขณะเดินทางกลับกรุงมิถิลา ระหว่างอยู่ในทะเล …เรือสำเภาของพระปิ่นทองถูกมรสุมพัดเข้าไปในถิ่นยักษ์ …เมื่อนางแก้วคลอดบุตรชายชื่อว่า “ปิ่นแก้ว” ก็คิดจะพาลูกกลับไปหาพระปิ่นทอง …โดยได้แวะไปลาพระฤาษี พระฤาษีบอกนางแก้วว่า พระปิ่นทองอยู่ในอันตราย …นางแก้วฝากลูกไว้กับพระฤาษีแล้วแปลงร่างเป็นผู้ชายขึ้นเรือเหาะไปรบกับท้าวพาลราช เจ้าเมืองยักษ์จนได้รับชัยชนะ …นางแก้วในร่างชายหนุ่ม …จึงเชิญพระปิ่นทองให้ครองเมืองยักษ์ และตนขอเพียง”นางสร้อยสุวรรณ” และ “นางจันทา” ธิดายักษ์ทั้งสองตนไปเป็นชายา …นางแก้วพาสองธิดายักษ์ไปหาพระฤาษีแล้วเล่าเรื่องราวให้ฟังพร้อมถอดรูปให้ดู …สองธิดายักษ์รับปากว่าจะเก็บเรื่องนี้เป็นความลับ …นางแก้วจึงพาสองธิดายักษ์มามอบให้พระปิ่นทอง …ต่อมาพระปิ่นทองเดินทางกลับเมืองมิถิลาพร้อมกับสองธิดายักษ์
นางแก้วได้พาลูกกลับมาเฝ้า …พระปิ่นทอง ท้าวภูวดล พระนางนันทา นางสร้อยสุวรรณ และนางจันทา พร้อมกับกราบทูลว่าพระปิ่นแก้วเป็นพระโอรสของพระปิ่นทองกับนางแก้ว …พระปิ่นอนงกับท้าวภูวดลไม่เชื่อ …นางแก้วเลยมอบแหวนที่พระปิ่นทองเคยมอบให้ในร่างนางมณีรัตนา …นางสร้อยสุวรรณและนางจันทาช่วยกันเลี้ยงดูพระปิ่นแก้ว ส่วนพระปิ่นทองนั้นก็ยังคงสงสัยว่าตนไปมีลูกกับนางแก้วตั้งแต่เมื่อไร่ …
เจ้าหญิงทัศมาลีคิดถึงพระปิ่นทองจึงเดินทางมาหาพระปิ่นทอง …เมื่อเดินทางมาพบพระปิ่นทองแล้วเกิดการหึงหวงกับนางสร้อยสุวรรณและนางจันทาสองธิดายักษ์ …จนมีเรื่องทะเลาะวิวาท โดยนางแก้วเข้าช่วยเหลือ …นางทัศมาลีเห็นว่าสู้ไม่ได้ จึงหนีกลับเมือง …ต่อมาเจ้าหญิงทัศมาลีได้ให้กำเนิดพระโอรส ตั้งชื่อว่า “เจ้าชายปิ่นศิลป์ไชย”
“ท้าวกายมาต” ยักษ์ผู้ครองนครไกรจักร …เป็นญาติของท้าวพาลราชซึ่งถูกแก้วสังหาร และนางสร้อยสุวรรณกับนางจันทากลายเป็นชายาของพระปิ่นทอง …ก็เกิดแค้นใจยกทัพมาที่เมืองมิถิลา พระปิ่นทองไม่ชำนาญการรบ นางสร้อยสุวรรณและนางจันทาแนะว่าให้ไปขอความช่วยเหลือจากนางแก้วหน้าม้า พร้อมบอกใบ้ให้รู้ความจริงทั้งหมด
เมื่อพระปิ่นทองรู้ความจริงทั้งหมด …ก็ได้รีบตามไปง้อขอคืนดีกับนางแก้ว นางแก้วยอมช่วยรบเพราะเห็นแก่พระนางนันทา โดยแปลงร่างเป็นชายหนุ่มถืออีโต้ไปเฝ้าพระปิ่นทองโดยบอกว่าพี่แก้วให้มาช่วย …นางแก้วไม่สามารถทำอะไรท้าวประกายมาตได้ เพราะท้าวประกายมาตมีฤทธิ์รักษาแผลได้ …นางแก้วจึงขี่เรือเหาะข้ามศีรษะท้าวประกายมาต ทำให้มนต์เสื่อม จึงสามารถจัดการได้ …พอชนะศึกแก้วในร่างของชายหนุ่มขอลากลับทันที …พระปิ่นทองจึงมั่นใจว่าต้องเป็นนางแก้วแน่นอน …จึงตามไปหาที่ห้องกล่าวง้องอน นางแก้วหน้าม้าก็ทำเป็นเล่นตัว พระปิ่นทองแกล้งทำทีเชือดคอตาย นางแก้วจึงยอมใจอ่อนถอดหน้าม้าออก …เมื่อความทราบถึงท้าวภูวดลและนางนันทาก็ดีพระทัย …จึงจัดพิธีอภิเษกสมรสให้นางแก้วเป็นมเหสีของปิ่นทองอย่างเอิกเกริก พร้อมทั้งกับนางแก้วได้ชื่อใหม่ว่า “นางมณีรัตนา” …นางแก้วจึงให้คนไปรับพ่อกับแม่มาลี้ยงดูอย่างมีความสุขในวัง ต่อมาไม่นานนางแก้วก็ตั้งครรภ์อีกครั้ง …แล้วได้อยู่ร่วมกันอย่างมีความสุข
อย่ามองคนแค่เพียงภายนอก …”คนดี” ไม่ใช่ดูที่รูปร่างหน้าตา…แต่”ดูที่นิสัยและจิตใจ”
Credit: ketsir.blogspot.com/2015/04/blog-post_55.html
board.postjung.com