นิทานพื้นบ้าน เรื่องท้าวก่ำกาดำ ฉบับเต็ม
อักษรธรรม 1 ผูก วัดศรีคุณเมือง บ้านาจาน ต.ระเว อ.พิบูลมังสาหาร จ.อุบลราชธานี
กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว มีสามีภรรยาคู่หนึ่ง หลังจากอยู่กินร่วมชีวิตกันเป็นเวลาหลายปี แต่หาได้มีบุตรไว้สืบสกุลไม่ สามีจึงปรึกษากับภรรยาว่า “นี่แม่นาง พี่เห็นว่าเราก็อยู่ร่วมกันมาเป็นเวลานานแล้ว แต่ก็ยังไม่มีบุตรสักที พี่เองก็อยากมีบุตรไว้สืบสกุล แล้วน้องล่ะ” สามีถามทิ้งท้าย “น้องก็เช่นกัน การไม่มีบุตรก็เท่ากับขาดคนสืบสกุลใช่ไหม” ภรรยาพูดเป็นเชิงถาม “ถ้าอย่างนั้นเราไปบนบานสิ่งศักดิ์สิทธิ์เพื่อขอบุตรดีไหม” สามีชวนเมื่อรู้ว่าภรรยาเห็นดีด้วยที่จะมีบุตร “ไปก็ไปสิจ๊ะ เพื่อเราจะได้มีบุตรไว้สืบสกุลกัน” ภรรยาตอบตกลง… เมื่อมีความเห็นตรงกัน และตกลงร่วมกันเช่นนั้น ทั้งสองจึงไปบนบานต่อศาลเทพารักษ์ที่ศักดิ์สิทธิ์ประจำหมู่บ้าน จากนั้นไม่นาน ภรรยาก็ตั้งครรภ์และคลอดลูกออกมาเป็นผู้ชาย
แม้จะมีบุตรสมใจแต่ก็ไม่ให้ผู้เป็นมารดามีความสุขเลย เพราะกุมารน้อยที่เกิดมานั้นมีผิวดำเหมือนกา จนชาวบ้านเอาไปซุบซิบนินทานางว่า “มันต้องไปสมสู่กับกาแน่ ๆ ลูกจึงเกิดมาดำอย่างนั้น”…“ข้าว่าในอดีตมันต้องเป็นคนใจดำ อาจทำชั่วมาก่อนจึงได้ลูกดำมากขนาดนั้น” คำพูด คำนิทามีมากขึ้น ยิ่งนานวันการซุบซิบปากต่อมากกระทั่งพูดกันทั่วบ้านทั่วเมือง ทำให้ผู้เป็นมารดารู้สึกอับอาย เมื่อผู้เป็นมารดาก็รู้สึกละอายที่ต้องมีลูกชายรูปชั่วตัวดำ จนนางอดทนไม่ไหวถึงกับเอ่ยปากกับผู้เป็นสามีว่า “พี่..ฉันคงเลี้ยงลูกคนนี้ไม่ไหวแล้ว เลี้ยงมันไว้ยิ่งนับวันจะอับอายขายหน้า ผู้คนในหมู่บ้านหาว่าฉันไปสมสู่กับอีกาจึงมีลูกตัวดำปี๋อย่างนี้ บางคนก็บอกว่าชาติก่อนฉันคงใจดำ ทำไม่ดีไว้มากชาตินี้จึงได้ลูกดำเหมือนกา” สามีไม่ปริปากว่าอะไร ได้แต่นั่งคิด ภรรยาเห็นสามีไม่พูดจึงปรึกษาว่า “ฉันว่าเอาลูกเราไปลอยแพทิ้งดีไหม” เมื่อได้ยินคำว่า “เอาลูกไปทิ้ง” สามีก็เริ่มปริปากพูด “เขาจะพูดกันก็ช่างปะไร แกจะไปเดือดร้อนทำไม ถึงตัวมันดำ ก็มีแขนขาหูตาครบส่วนทุกอย่าง ถึงอย่างไรก็เป็นลูกเรา นี่แกคิดจะลอยแพลูกทิ้งเชียวเหรอ” ผู้เป็นสามีติงอยางไม่เห็นด้วยฝ่ายภรรยา
เมื่อเห็นสามีไม่เห็นด้วย จึงคิดกลอุบายหาทางกำจัดกุมารน้อยรูปชั่วตัวดำ โดยไปให้สินบนกับโหรทำนายทายทักไปในทางไม่ดี เพื่อให้สามีของนางเชื่อตามนั้น “อย่ากระนั้นเลย ข้าอายคนมาก ข้าต้องหาหาเอาลูกไปทิ้งให้ได้ เมื่อเขาไม่ยอมเราก็ควรหาวิธีอื่น วิธีที่ดีที่สุดก็คือให้โหรช่วยทำนายว่าลูกจะทำภัยพิบัติมาให้ แล้วเขาก็จะเชื่อ” นางวางแผน “พี่ ฉันว่าเราไปปรึกษาโหรดีไหม” นางชวนสามี สามีคิดนิดหนึ่งแล้วตอบว่า “เออ…..ก็ดี เพราะโหรเขาจะรู้อนาคตได้ดี” แล้วทั้งสองก็ไปให้โหรทำนาย
โหรถูกว่าจ้างดังนั้นแล้วก็มาที่บ้านของสามีภรรยา บอกให้นำกุมารน้อยไปไว้ตรงหน้า แล้วถามถึงเดือนปีเกิดเวลาตกฟาก ซึ่งฝ่ายผู้เป็นภรรยาก็บอกให้โหรทราบทุกประการ ส่วนผู้เป็นสามีคอยนั่งฟังโหรทำนายด้วยใจจดใจจ่อ เพราะเขารักสงสารลูกชายตัวดำของเขามาก ผู้เป็นบิดาไม่เคยรังเกียจลูกเลย แม้จะเกิดมาตัวดำปี๋เหมือนอีกา หรือเหมือนถ่านก็ตามที ฝ่ายโหรเมื่อได้เวลาเกิดและยามตกฟากของกุมารผิวถ่านแล้ว ก็ทำทีขีดเขียนกระดานเพื่อคำนวณถึงชะตาราศรี เขาจึงทำนายไปตามที่ได้รับสินบนตามต้องการของหญิงผู้เป็นแม่… “โธ่…กุมารน้อยตัวดำเกิดมาในฤกษ์เป็นกาลกิณีแท้ ๆ จะนำภัยพิบัติมาสู่พ่อแม่ ขืนเลี้ยงไว้มีแต่จะทำให้ทุกข์ยากถึงขนาดพ่อแม่จะอายุสั้นต้องพรากจากกันเลยทีเดียว กุมารน้อยช่างเกิดมามีกรรมน่าสงสารแท้ๆ” ตอนท้ายโหรแกล้งบีบเสียงให้สมจริงสมจัง “นี่…โหรคำนวณไม่ผิดพลาดแน่นะ” ผู้เป็นพ่อสงสัย สงสารและเป็นห่วงลูกชายตัวดำ
“รับรองว่าตรวจทานตามวันเวลาเกิดและเวลาตกฟากถูกต้องทุกประการ” โหรยืนยัน
ผู้เป็นพ่อถึงจะรักและสงสารลูกน้อยตัวดำมากมายขนาดไหนก็มิอาจจะเลี้ยงได้แล้ว คำว่า “ภัยพิบัติ” และ “กาลกิณี” หมายถึงสิ่งชั่วร้ายจะต้องเกิดกับครอบครัว ไหนอายุพ่อแม่จะต้องสั้น ลูกอัปมงคลอย่างนี้คงเลี้ยงไว้ไม่ได้แล้ว กุมารน้อยตัวดำปี๋จึงลูกลอยแพทิ้งให้ลอยไปตามสายน้ำ แล้วแต่บุญกรรมนั่นแล้ว…ร้อนถึงเทวดาทิพยอาสน์เคยอ่อนนุ่มกลับแข็งกระด้าง ท่านจึงสอดส่องลงมายังเบื้องล่างก็เห็นกุมารน้อยถูกลอยแพตามกระแสน้ำจึงบันดาลให้แพลอยไปเกยตื้นใกล้อุทยานของพระราชา
บ่ายวันนั้นคนเฝ้าอุทยานลงมาอาบน้ำที่ท่าน้ำพบแพลอยน้ำใกล้เข้ามา ครั้นมองในแพ เห็นกุมารน้อยนอนดินกระแด่วอยู่ก็ดีใจ เพราะเขาเองยังไม่มีลูกทั้งที่อยู่กินกับภรรยามาหลายปี “โอ้…เจ้านี่เกิดมาตัวดำ ดำเหมือนอีกา พ่อจะตั้งชื่อให้นะ”… เฝ้าอุทยานนั่งคิดอยู่ครู่หนึ่ง ควรจะตั้งชื่ออย่างไรจึงจะสมรูปสมร่าง ในที่สุดก็คิดได้จึงร้องออกมาว่า….
“เออ…ข้าคิดออกแล้ว เข้าเกิดมาตัวดำ ดำเหมือนกา ดำเหมือนถ่าน ชื่อว่า “ท้าวก่ำกาดำ” ก็แล้วกัน”
ท้าวก่ำกาดำเจริญเติบโตขึ้นมาเพราะคนเฝ้าอุทยานของพระราชาเลี้ยงดู จนกลายเป็นหนุ่มเขาเป็นคนขยันขันแข็ง ช่วยงานปลูกต้นไม้ ดูแลต้นไม้ในอุทยานอย่างเอาใจใส่ จนต้นไม้ในอุทยานไม่ว่าจะเป็นไม้ดอกไม้ผลก็ออกดอกติดผลจนกิ่งห้อยระดิน ท้าวก่ำกาดำจึงเป็นที่รักใคร่ของครอบครัวคนเฝ้าอุทยานของพระราชยิ่งนัก… วันหนึ่งพระธิดาทั้งเจ็ดของพระราชาเสด็จมาชมสวนพร้อมสาวสนมในวัง ท้าวก่ำกาดำแอบดูความสวยงามของพระธิดาทั้งเจ็ดซึ่งแต่ละนางล้วนมีความสวยงามมิได้ยิ่งหย่อนกว่ากัน แต่ท้าวก่ำกาดำมีความสนใจในพระธิดาน้องนุชสุดท้องคนที่เจ็ด มีชื่อว่า “นางลุน”
ท้าวก่ำกาดำมีความสามารถอีกอย่างหนึ่ง คือ สามารถเป่าแคนได้ไพเราะเพราะพริ้งมาก หากใครได้ยินเสียงแคนของท้าวก่ำกาดำก็จะหลงใหลจนลืมตัว นอกจากนั้นท้าวก่ำกาดำยังมีฝีมือร้อยพวงมาลัยดอกไม้ได้สวยงามยิ่งนัก…วันหนึ่งเขาร้อยพวงมาลัยดอกไม้สดบรรยายเป็นความรักแล้วให้ภรรยาคนเฝ้าสวนนำไปถวายนางลุนในวัง นางลุนได้รับพวงมาลัยบรรยายเป็นความรักจึงเกิดความหลงใหลใคร่อยากเห็นหน้าผู้ร้อยมาลัยมาถวาย ตอนค่ำทุกวัน ท้าวก่ำกาดำจะเป่าแคนให้เสียงแคนลอยตามลงไปจนถึงวัง ครั้นพระราชาได้ฟังเสียงแคนที่ไพเราะจึงมีรับสั่งให้คนเฝ้าอุทยานนำท้าวก่ำกาดำไปเป่าแคนถวายในวังจนเป็นที่โปรดปรานของพระราชา หากวันใดพระองค์ไม่ได้ฟังเสียงแคนของท้าวก่ำกาดำพระราชาจะบรรทมไม่หลับ ดังนั้นท้าวก่ำกาดำจึงต้องเข้าไปเป่าแคนถวายพระราชาในวังทุกค่ำคืน… ครั้นเมื่อพระราชาบรรทมหลับด้วยมนต์เสียงแคนของท้าวก่ำกาดำ จึงเป็นโอกาสให้หนุ่มรูปกายดำราวกับอีกาถือโอกาสลักลอบไปได้เสียกับพระธิดาองค์เล็ก คือ นางลุน ซึ่งจากนั้นเทวดาได้ดลให้ท้าวก่ำกาดำได้ถอดครบให้เป็นรูปกายอันงดงามด้วยความหล่อเหลาที่แท้จริงของเขา
ท้าวก่ำกาดำได้ขอให้พ่อแม่ซึ่งเป็นคนเฝ้าอุทยานไปสู่ขอนางลุนเป็นคู่ชีวิตของตน พระราชาไม่รังเกียจแต่เรียกค่าสินสอดเป็นเงินทองมากมาย รวมทั้งให้ท้าวก่ำกาดำสร้างสะพานเงินสะพานทองจากในอุทยานมาจนถึงวังของนางลุน ถ้าท้าวก่ำกาดำทำได้ให้ดังนั้นจะยกธิดานางลุนให้… ท้าวก่ำกาดำเป็นคนมีบุญญาธิการลงมาเกิด เป็นโอรสจากสวรรค์ พระอินทร์จึงลงมาช่วยอีกครั้งหนึ่ง… โดยเนรมิตเงินทองสินสอดทองหมั้น พร้อมสร้างสะพานทองจากอุทยานถึงวังของนางลุนได้สมกับความต้องการของพระราชา… ท้าวก่ำกาดำจึงได้แต่งงานกับพระธิดานางลุนและอยู่อย่างมีความสุข ท้าวก่ำกาดำได้รับพ่อแม่คนทำสวนและสืบหาพ่อแม่ที่แท้จริงของตน และได้รับเข้ามาเลี้ยงดูในวังเพื่อเป็นการตอบแทนบุญคุณทุกคน ท้าวก่ำกาดำจึงอยู่กับคนรักและพ่อแม่อย่างมีความสุขสืบมา
Credit: baanmaha.com