นิทานล้านนาเรื่องใครโง่กว่าใคร อีกนิทานพื้นบ้านภาคเหนือ เนื้อหาสนุกเพลิดเพลินและขำขัน และให้แง่คิดในการใช้ชีวิตอีกด้วย… มีเรื่องเล่าต่อๆ กันมาว่า
เรื่อง ใครโง่กว่าใคร
หลายปีมาแล้ว มีชายผู้หนึ่งชื่อ”คง”… ทิดคนนี้เคยบวชเป็นพระภิกษุหลายพรรษา… ต่อมาได้สึกและแต่งงานอยู่กินกับภรรยาจนมีบุตรคนหนึ่ง…ทิดคงและครอบครัวมีอาชีพในทางทำนา แกมีนาส่วนตัวอยู่แปลงหนึ่ง แกทำนาด้วยตนเองทุกๆ ปี นานี้อยู่ห่างจากบ้านของแกราว ๆ 4 – 5 กิโลเมตร… เวลาเช้าทิดคงจะออกไปไถนาพร้อมกับควาย ครั้นตอนสายและกลางวันลูกสาวจะเป็นผู้นำอาหารไปส่งให้เสมอ
วันหนึ่งตอนบ่าย… ภรรยาไปตลาดซื้อปลามาตัวหนึ่งเอาไปแกงส้มอร่อยมาก… นางคิดถึงสามีจึงขอร้องให้ลูกสาวช่วยนำอาหารมื้อนี้ไปส่งให้ด้วย… ลูกสาวรับของออกเดินจากบ้านไป ขณะที่เดินทางฝ่าแดดที่กำลังร้อนจัด ประกอบกับวันนั้นบุตรสาวต้องทำงานที่บ้านแต่เช้าจนบ่ายเมื่อฝ่าแดดมารู้สึกเหน็ดเหนื่อยยิ่งนัก นางจึงหยุดพักวางหม้อข้าวหม้อแกงลง นั่งพักผ่อนใต้ร่มไม้คิดว่าพอหายเหนื่อยแล้วตนจึงค่อยเดินทางต่อไป พอดีมีลมโชยมานางเลื่อนตัวเอนกายพิงกับต้นไม้ม่อยหลับไป… ขณะที่หลับนางฝันว่ามีบุตรเศรษฐีมาชอบพอและสู่ขอนางกับพ่อแม่ ได้อยู่กินกันอย่างเป็นสุข จนกระทั่งมีครรภ์ ต่อจากนั้นไม่นานนักนางก็คลอดบุตรออกมาเป็นชาย อ้วนท้วนน่ารักต่อมาเด็กคนนั้นได้ล้มป่วยลงโดยกะทันหันถึงแความตาย นางร้องไห้ด้วยความเสียใจ ขณะที่ละเมอไข่วคว้าอยู่นั้น มือไปปัดเอาหม้อแกงหกเรื่อราดหมด เลยไม่มีอาหารไปสู่บิดา…
… เมื่อนางตื่นขึ้นจึงร้องไห้กลับบ้าน เล่าเรื่องราวต่าง ๆที่เกิดขึ้นให้แม่ฟัง แม่ได้ยินดังนั้นพลอยร้องไห้เสียใจด้วยพร้อมกับรำพันว่า ‘’ โธ่เอ๋ยหลานรัก เกิดมาไม่ทันไรมาด่วนตายเสียได้ ยายไม่ทันได้กอดได้อุ้ม อือๆๆ ‘’… พอดีขณะนั้นสามีหิวข้าวรีบเดินกลับบ้าน เมื่อมาถึงพบคนทั้งสองกำลังร้องไห้ด้วยความเสี่ยใจจึงไต่ถามเรื่องราวเมีย พอเห็นสามีมา รีบวิ่งเข้าไปหาพร้อมกับบอกว่า ‘’ ตาเอ๋ยตา หลานเกิดมาไม่ทันไรก็ตายเสียก่อน โธ่ไม่น่าเลยช่างบุญน้อยจริง ๆ น่าจะคอยให้ตายายอุ้มบ้างก็ไม่ได้” ทิดคงสงสัย…ไต่ถามลูกสาวก็ทราบเรื่องราวทั้งหมด จึงพูดออกมาว่า ‘’มันฝันนี่หว่า มันจริงเมื่อไร เอ็งทำไมจึงโง่เขลาเช่นนี้‘’
เมื่อทิดคงเห็นว่าภรรยาและลูกสาวของตนโง่เขลายิ่งนัก… แกจึงตัดสินใจขายควาย รวบรวมเงินทองติดตัวออกเดินทางลงเรือไปยังเมืองอื่น ๆ ขณะที่พายเรือไปตามแม่น้ำนั้น เขาพบชายคนหนึ่งนั่งร้องไห้อยู่จึงแวะเข้าไปถามว่า ‘’ท่านร้องไห้ทำไม‘’ ชายผู้นั้นบอกว่า ‘’ข้าพเจ้าเอามือออกจากไหเกลือไม่ได้‘’ ทิดคงมองเห็นชายนั้นล้วงมือลงไปในไหเกลือและกำเกลือจนเต็มกำมือปากไหนั้นแคบ เขาจึงเอามือออกไม่ได้ ทิดคงหัวเราะ บอกให้เขาปล่อยเกลือเสีย มือก็จะออกได้… ชายผู้นั้นทำตาม จึงเอามือออกไปและกล่าวคำขอบใจ พร้อมกับมอบเป็ดให้เป็นรางวัลตอบแทนหนึ่งตัว
… ทิดคงพายเรือต่อไป… เขาพบคนหมู่หนึ่งกำลังเอาเชือกผูกหัวเสาอยู่ข้างฝ่าย ต่างฉุดดึงกันไปคนละทาง… ทิดคงรู้สึกสงสัยแวะเรือเข้าไปร้องถามว่า “พวกท่านทำอะไรนั่น”… “เสามันสั้นไป เราพยายามจะดึงมันให้ยาวอีกสักหน่อย” ทิดคงบอกว่า ‘’ ท่านเอ๋ย เสาดึงมันไม่ยืดออกได้หรอก ท่านต้องการจะให้เสายาวขึ้น ก็หาเสามาต่อเข้าซิ ‘’ พวกนั้นปฏิบัติตามและดีใจมากที่เสายาวออกมาตามที่ต้องการ แต่ละคนได้ชมเชยต่างๆ นานาว่า ‘’ท่านช่างมีปัญญาแท้ๆ” แล้วต่างก็หาไก่มามอบให้เป็นรางวัล
… ทิดคงพายเรือต่อไปจนกระทั่งพบคนอีกกลุ่มหนึ่ง… เขาสร้างตึกก่ออิฐถือปูน เนื่องจากไม่มีหน้าต่างดังนั้นภายในห้องจึงมืด พวกนั้นต่างช่วยกันเอาตะกร้า กระบุง หีบ และถังต่างๆ ออกวางกลางแดด… พอสักครู่ก็ยกเข้าไปเทในห้องเพื่อให้ห้องสว่างขึ้น… แม้ว่าเขาจะขนสักเท่าไรห้องนั้นก็ไม่สว่างขึ้น… ทิดคงรู้สึกแปลกใจจึงร้องถามออกไปว่า ‘’ ท่านทำอะไร ขนกันไม่รู้จักหมดจักสิ้น ‘’ พวกนั้นบอกว่า ‘’ พวกเราขนแดดไปเทในห้องเพื่อให้มันสว่างขึ้น ‘’ ทิดคงหัวเราะ พร้อมกับบอกว่า ‘’ สหายเอ๋ย ท่านอยากให้ห้องสว่าง ก็เจาะกำแพงหน้าต่างซิ ‘’… พอพูดจบทิดคงก็ขึ้นจากเรือไปช่วยทำหน้าต่างให้… ตึกที่มืดกลับสว่างขึ้นทันที พวกนั้นพากันไชโยโห่ร้องด้วยความยินดีและกล่าวคำชมเชยว่า ‘’ ท่านช่างมีปัญญาจริงๆ ‘’… ทุกๆคนต่างรวบรวมรางวัลมอบให้เป็นที่ระลึก
… ทิดคงเริ่มรู้สึกว่าที่ตนคิดว่าภรรยาและบุตรของตนโง่นั้น… พวกที่ตนมาพบนี้ยิ่งโง่กว่าเสียอีก… ทางที่ดีควรกลับไปคืนดีกับลูกเมียเสียดีกว่า… หากลูกเมียผิดพลาดไปตนยังพอจะแนะนำสั่งสอนให้เป็นคนดีได้… ทิดคงจึงกลับยังบ้านอยู่กันกับภรรยาและบุตรอย่างเป็นสุขต่อไป
1. อันคนโง่นั้นมีอยู่ทั่วไป… อย่าคิดว่ามีแต่คนในครอบครัวเราเท่านั้น… ทางแก้ปัญญามิใช่จะหนีปัญหา… พึงใช้ปัญญาแก้ไข… เช่น อบรม สั่งสอน ชี้แนะแนวทางให้
2. คติ ‘’ เหนือฟ้ายังมีฟ้า ‘’
Credit: lanna.mju.ac.th/ “ทุกภาพ ทุกตัวอักษร มอบเป็นวิทยาทานแด่ทุกท่าน”