เรื่องนางพญากาเผือกนี้ เป็นตำนานพื้นบ้านไทยภาคกลาง ที่พยายามอธิบายความเกี่ยวพันของพระพุทธเจ้าทั้ง ๕ พระองค์ ซึ่งเชื่อกันว่าในภัทรกัปนี้จะมีพระพุทธเจ้ามาตรัสรู้สั่งสอนมนุษยชาติ ๕ พระองค์ คือ พระกกุสันโธ พระโคนาคมโน พระกัสสป พระสมณโคดม และพระศรีอาริยเมตไตร ปัจจุบันเป็นศาสนาของพระพุทธเจ้าองค์ที่สี่ มีระยะเวลา ๕,๐๐๐ ปี ต่อไปก็จะถึงศาสนาพระศรีอาริย์จนสิ้นภัทรกัปนี้ ตอนจะสิ้นภัทรกัปสังคมจะเสื่อมเป็นกลียุค แล้วเกิดไฟบรรลัยกัลป์ล้างโลกขึ้นครั้งหนึ่ง
แต่อย่างไรก็ตาม ตำนานเรื่องนางพญากาเผือกนี้ได้กล่าวถึงพระพุทธเจ้า ๕ พระองค์ แต่ก็ไม่ใช่เป็นเรื่องที่อยู่ในพุทธประวัติ เพียงนำชื่อพระพุทธเจ้ามาเกี่ยวข้องบางตอน โดยใช้วิธีอธิบายแบบลากเข้าความซึ่งอาศัยเสียงของคำที่ใกล้เคียงกัน กกุสันโธ เป็นชื่อพระโพธิสัตว์ที่แม่ไก่นำไปเลี้ยง จะเห็นว่า ๒ พยางค์แรก มีเสียงใกล้เคียงกับคำว่า “กกุฏ” ซึ่งแปลว่า”นกเขา…หรือนกพิราบ” และใกล้เคียงเสียงแม่ไก่เวลาเรียกลูกมาหากิน องค์ที่นาคเลี้ยงเรียกว่า” โคนาคมโน” มีคำว่านาคอยู่กลางคำ องค์ที่เต่าเลี้ยงชื่อว่า “กัสสปะ” ก็ลากเข้าหาคำบาลีว่า กจฺฉปฺ แปลว่า เต่า…องค์ที่วัวนำไปเลี้ยงชื่อว่า “โคดม” มีคำว่า”โค”นำหน้า และองค์ที่ราชสีห์เก็บได้มีคำว่า”ศรี”นำหน้า คือ “ศรีอาริยเมตไตร”… เนื้อเรื่องจึงเป็นจินตนาการของคนโบราณ ที่สร้างเรื่องราวขึ้นมาเล่าสู่กันฟังเพื่ออธิบายสาเหตุของพิธีลอยกระทง ซึ่งในบางท้องถิ่นอาจจะมีเรื่องราวแตกต่างกันไป มีเนื้อเรื่องดังนี้
เรื่อง นางพญากาเผือก
นางพญากาเผือกทำรังอยู่บนต้นไม้ใกล้ฝั่งน้ำ มีไข่ห้าฟอง…ครั้งหนึ่งเกิดพายุและฝนตกหนักได้พัดต้นไม้โค่นลงแม่น้ำ ไข่ทั้งห้าฟองของนางพญากาเผือกลอยกระจัด กระจายไปตามกระแสน้ำ ฟองที่หนึ่งแม่ไก่เก็บได้ ฟองที่สองนาคเก็บได้ ฟองที่สามเต่าเก็บได้ ฟองที่สี่วัวเก็บได้ ส่วนฟองที่ห้าราชสีห์เก็บได้ สัตว์ทั้งห้าก็นำไข่ไปกกจนเกิดเป็นตัวเมื่อไข่ฟักเป็นตัวกลับกลายเป็นเด็กชายทั้งห้าคน และสัตว์ที่เลี้ยงดูเด็กทั้งห้าก็ตั้งชื่อตามลำดับดังนี้ คือ กกุสันโธ โคนาคมโน กัสสปะ โคดม และศรีอาริยเมตไตร
ครั้นเจริญวัย เด็กทั้งห้าก็พยายามถามหาพ่อแม่เดิมของตน สัตว์ที่เป็นแม่เลี้ยงก็เล่าได้แต่เพียงว่าเก็บไข่ที่ลอยน้ำมา เด็กทั้งห้าจึงลาแม่เลี้ยงติดตามหาพ่อแม่เดิมของตน แต่ละคนต่างก็เดินทางพเนจรติดตามหาพ่อแม่เลียบริมฝั่งแม่น้ำ ในที่สุดได้เดินทางมาพบกันและได้ไต่ถามความเป็นมา ซึ่งทุกคนต่างก็ทราบว่าตนเกิดจากไข่ลอยน้ำเหมือนกันและเกิดในวันเดียวกันเป็นที่อัศจรรย์ใจนักก็เลยคิดว่าน่าจะมีแม่เป็นคนคนเดียวกัน จึงร่วมเดินทางติดตามแม่ด้วยกันทั้งห้าคน
เด็กทั้งห้าได้สืบเสาะหาแม่เท่าใดก็ไม่มีใครทราบ จึงทำพิธีเซ่นสรวงสิ่งศักดิ์สิทธิ์ให้บอกทิศทางติดตามแม่ ด้วยบุญบารมีของเด็กทั้งห้า นางพญากาเผือกซึ่งตายไปแล้วเกิดเป็นเทพอยู่บนสวรรค์ ก็มาปรากฎตัวให้เห็น และบอกว่าตนเป็นแม่เด็กทั้งห้า นางได้บอกสาเหตุที่ลูกได้พลัดพรากกันเมื่อครั้งเกิดพายุใหญ่ เด็กทั้งห้าจึงถามว่าพวกเขาอยากจะตอบสนองคุณมารดาจะกระทำได้โดยวิธีใด…นางพญากาเผือกจึงบอกว่า “ในวันเพ็ญเดือนสิบสอง ซึ่งเป็นวันที่พลัดพรากกัน ให้ลูกๆ ทำกระทงลอยน้ำไปหาแม่ โดยนำไข่สัตว์มาใส่ในกระทง และนำด้ายมาทำเป็นรูปเครื่องหมายตีนกา จุดไฟลอยไปตามน้ำพระคงคา กระทงจะไปถึงแม่”
หลังจากนั้น เด็กชายทั้งห้าก็ทำกระทงลอยน้ำในวันเพ็ญเดือนสิบสองทุกปี และผู้คนอื่นๆต่างก็ทำกระทงลอยน้ำตามเด็กทั้งห้า จึงมีการทำพิธีลอยกระทงสืบมา
การทดแทนบุญคุณของผู้มีพระคุณกระทำได้หลายวิธี ทั้งนี้…ผู้รำลึกถึงและทดแทนบุญคุณของบุพการีคือผู้เจริญ
…
Credit: gotoknow.org/posts/342629
Photo credit: thamma4me.blogspot.com/2014/03/5.html