นิทานพื้นบ้าน เรื่อง เมขลา รามสูร
ณ สวรรค์ชั้นฟ้าอันเป็นที่สถิตของเหล่าเทพยาดาและบรรดานางฟ้าทั้งหลาย ครั้นถึงวสันตฤดูเหล่าทวยเทพต่างร่วมกันจัดงานนักขัตฤกษ์มีการละเล่นเป็นที่สนุกสนานครื้นเครง ในครั้งนั้นนางฟ้าองค์หนึ่งนามว่า เมขลา สถิตอยู่ ณ วิมานรัตนะ มีหน้าที่คอยพิทักษ์รักษาสมุทรไท นางมีดวงแก้ววิเศษดวงหนึ่งซึ่งได้รับการประทานมาจากพระนารายณ์ทำให้มีอิทธิฤทธิ์ เมื่อเหาะไปแห่งหนใดเมขลาก็ถือดวงแก้ววิเศษนี้ติดตัวไปด้วยเสมอ
ขณะที่นางเมขลาเหาะออกจากวิมานเพื่อไปร่วมงานนักขัตฤกษ์ บังเอิญเจ้ายักษ์รามสูรได้เห็นแสงแวววาวของดวงแก้ววิเศษก็นึกอยากได้รีบเหาะติดตามหมายจะชิงมาเป็นของตน ส่วนนางเมขลาเห็นว่าจอมอสูรผู้นี้เป็นยักษ์ชั้นเลวที่เที่ยวเกะกะระรานไปทั่วทั้งแดนสวรรค์และใต้บาดาล เหล่าเทพเทวาทั้งหลายต่างเกลียดและกลัวไม่อยากจะตอแยด้วย เพราะเจ้ายักษ์รามสูรนี้มีขวานวิเศษอยู่ด้ามหนึ่งทำให้ไม่มีใครสู้ฤทธิ์ได้ นางเมขลาจึงคิดที่จะยั่วโทสะจอมมาร
๏ อสุราเห็นแก้วแววไว
ซึ่งนางเมขลาโยนเล่น ยิ่งเห็นยิ่งชอบอัชฌาสัย
ยิ่งพิศยิ่งติดต้องใจ จะใคร่ได้ดวงจินดา
หมายเขม้นเข่นเขี้ยวจะราญรอน กรกุมขวานเพชรเงื้อง่า
เผ่นโผนโจนไปในเมฆา ไล่นางเมขลาด้วยฤทธีฯ
……………. ……………..
เมื่อนั้น นวลนางเมขลามารศรี
เลี้ยวล่อรามสูรอสุรี กรโยนมณีจินดา
ทำทีประหนึ่งจะให้แก้ว กลอกแสงพราวแพรวบนหัตถา
ครั้นรามสูรไล่เลี้ยวมา กัลยารำล่ออสุรี
นางแกล้งเลี้ยวลัดฉวัดเฉวียน เวียนไปตามจักราศี
มือหนึ่งชูแก้วมณี ทำทีเยาะเย้ยอสุราฯ
( จากบทพระราชนิพนธ์ของพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลก)
นางเมขลาถือดวงแก้วล่อหลอกเหาะหนี ฝ่ายรามสูรก็ควงขวานเพชรไล่ติดตามอย่างไม่ลดละ พอได้ระยะจอมอสูรหมายจะขว้างขวานในมือใส่ พลันแสงประกายจากดวงแก้วก็ส่องสะท้อนแวมวับออกมา รามสูรตกใจขวานจึงพลาดเป้าแล่นแฉลบไปตามหมู่เมฆในท้องฟ้า บางครั้งก็ลงมาถึงพื้นดินเกิดเสียงสะเทือนเลื่อนลั่น ขณะนั้น พระอรชุน ผู้เป็นใหญ่เหาะผ่านมาพอดี เจ้ายักษ์รามสูรกำลังโมโหจึงตวาดใส่พระอรชุนที่เหาะมาขวางหน้า ในที่สุดก็เกิดการรบกันด้วยฤทธิ์ รามสูรขว้างขวานโถมเข้าฟาดฟันใส่ทันที พระอรชุนจึงตอบโต้ด้วยพระขรรค์ การต่อสู้เป็นไปอย่างดุเดือด ต่างก็ผลัดกันแพ้ผลัดกันชนะ จนในที่สุดพระอรชุนก็พลาดถูกจอมอสูรจับขาฟาดกับเขาพระสุเมรุจนสิ้นชีพ และผลการรบในครั้งนั้นถึงกับทำให้เขาพระสุเมรุเอียงทรุด
ร้อนถึงเหล่าเทพยดาทั้งหลาย รวมทั้งบรรดาฤาษีชีไพร ครุฑ นาค คนธรรพ์ ต้องมาทำพิธีชะลอเขาพระสุเมรุให้กลับตั้งตรงดังเดิมโดยใช้พญานาคพันรอบเขาไว้แทนเชือกแล้วช่วยกันออกแรงดึง ซึ่งพระอินทร์ทำหน้าที่เป่าสังข์ให้อาณัติสัญญาณ
เหตุการณ์ในเรื่องนางเมขลารามสูรนี้ เป็นเกร็ดตอนหนึ่งจากรามเกียรติ์ ซึ่งก็คือตำนานที่มาปรากฏการณ์ธรรมชาติอันได้แก่ ฟ้าแลบ ฟ้าร้อง และฟ้าผ่านั่นเอง คนสมัยโบราณเชื่อกันว่าสายฟ้าคือประกายแสงจากขวานของรามสูร ซึ่งหากฟ้าผ่าลงมายังพื้นดินถูกต้นไม้ก็จะทำให้หักโค่นจนเกิดไฟลุกไหม้
บางตำรากล่าวว่าเมขลาเป็นนางฟ้าผู้เป็นนางบำเรอของพระอิศวร ซึ่งพระบิดาของนางเองเป็นผู้นำมาถวายพร้อมกับดวงแก้ว วันหนึ่งนางเมขลาได้ทูลถามต่อพระอิศวรว่าเพราะเหตุใดนางจึงต้องมีเวรเข้าเฝ้า จึงได้รับคำตอบว่านางนั้นเหนือกว่านางฟ้าทั่วไปเพราะเป็นรองพระอุมาและมีหน้าที่ดูแลดวงแก้ว อยู่มาวันหนึ่งนางเมขลาเกิดไม่พอใจในฐานะความเป็นอยู่ของตน จึงลักดวงแก้วของพระอิศวรแล้วเหาะไปเที่ยวเล่น เนื่องจากมีดวงแก้ววิเศษ เหล่าเทพเทวาทั้งหลายจึงไม่อาจจับตัวได้
กล่าวถึงเจ้ายักษ์รามสูรผู้เป็นสหายกับฝนและกินลมเป็นอาหาร อสูรผู้นี้มีขวานเพชรเป็นอาวุธและเป็นมิตรกับพระราหู วันหนึ่งรามสูรได้รับการไหว้วานจากพระราหูให้ช่วยไปชิงดวงแก้วและจับนางเมขลา เพื่อพระราหูจะได้นำไปถวายพระอิศวรอีกต่อหนึ่งเป็นการไถ่โทษในความผิดของตน ซึ่งครั้งหนึ่งเคยแปลงตัวเป็นเทวดาแอบไปกินน้ำอมฤตเมื่อคราวเหล่าเทพและอสูรช่วยกันกวนเกษียรสมุทร แต่ด้วยอำนาจแสงที่ส่องออกมาจากดวงแก้ว รามสูรจึงไม่สามารถขว้างขวานถูกนางได้แม้แต่ครั้งเดียว
… ดังนั้นเมื่อนางเมขลากับรามสูรพบกันเมื่อไหร่ ก็จะเกิดเหตุการณ์สั่นสะเทือนเลื่อนลั่นไปทั้งแดนสวรรค์และโลกมนุษย์ตราบถึงทุกวันนี้…ไทยเราคิดเห็นไปว่าเมื่อเวลาฟ้าแลบฟ้าร้องนั้น ก็คือเวลาเมขลาล่อแก้วและรามสูรขว้างขวานนี่เอง แสงแก้วคือแสงฟ้าแลบ เสียงขวานคือฟ้าร้อง
๑. เรี่องเมขลากับรามสูร เป็นการอธิบายเกี่ยวกับการเกิดฟ้าแลบ ฟ้าร้อง ฟ้าผ่า…ทำให้เราเรียนรู้เกี่ยวกับธรรมชาติรอบตัวได้สนุกมากขึ้น…ที่สำคัญทำให้เข้าและผูกพันกับท้องถิ่น ก่อให้เกิดความภาคภูมิใจในท้องถิ่น
๒. ได้เรียนรู้กาพย์กลอนการใช้คำภาษาไทยที่สวยงาม ก่อให้เกิดความภาคภูมิใจในภาษา ศิลปะ วัฒนธรรมของไทย