นิทานล้านนา เรื่อง ผาเผียบ
เนื่องจากเมืองนี้ตั้งอยู่ย่านกลางระหว่างภาคเหนือ เรือแพจะขึ้นลงจะต้องแวะเมื่อเวลาผ่านและจอดพักก่อนขึ้นและลงแก่งหน้าเมืองสร้อยเสมอ ดังนั้นนครแห่งนี้จึงเป็นเสมือนชุมทางค้าขายและเผยแพร่วัฒนธรรม รวมทั้งพระพุทธศาสนาพระสงฆ์ที่มาจากสุโขทัย จากนครศรีธรรมราช จากพม่า และจากลังกา จะขึ้นไปยังนครพิงค์ต้องผ่านเมืองนี้ทุกๆครั้ง เมื่อเมืองสร้อยเป็นชุมทางผ่านมีผู้คนมากมาย ดังนั้นพระพุทธศาสนาจึงแพร่หลายและเจริญในถิ่นนี้ จากการบอกเล่าของผู้รู้บางท่านกล่าวว่า ณ เมืองสร้อยมีวัดโบราณที่ร้างอยู่เกือบร้อยวัด
เป็นธรรมดาที่ใดมีความเจริญทางพระพุทธศาสนาและวัดวาอารามมาก ที่นั่นย่อมมีผู้รู้และนักปราชญ์มากขึ้นตามจำนวน ตามคำเล่าปรากฏว่าแม้แต่สามเณรก็มีความเชี่ยวชาญแตกฉานในพระไตรปิกฎยิ่งนัก…ตามวัดวาอารามต่างๆ นิยมสร้างตู้พระธรรม และเขียนพรกะไตรปิฎกลงในใบลานบรรจุไว้จนเต็มตู้ แต่ละวัดมีพระธรรมที่จารึกลงไว้ในใบลานมากมาย นับเป็นหลายๆหีบเก็บไว้ที่หอพระธรรม (หอไตร)
กาลครั้งหนึ่ง… มีสามเณรจากเมืองสร้อยได้นำเรือพายขึ้นไปทางเหนือ รวบรวมเครื่องสมุนไพรว่าน ยาวิเศษต่างๆ รวมทั้งทำการค้นคว้าหาความรู้จากพระไตรปิฎกที่มีอยู่ตามอารามต่างๆ ใกล้ฝั่ง… สามเณรรูปนี้เป็นผู้รอบรู้และแตกฉานในพระธรรมยิ่งนัก เมื่อใครกล่าวถึงนิทานหรือพระสูตรตอนไหน สามเณรจะสามารถบอกได้ทันทีว่าอยู่ ณ ที่ใด จนเป็นที่เลื่องลือกันทั่วไป
เนื่องจากต้องพายเรือทวนน้ำขึ้นมาไกลและรอนแรมเป็นเวลาหลายวัน คนพายเรือให้รู้สึกเบื่อประกอบกับประเดี๋ยวแวะจอดโน่น ประเดี๋ยวแวะจอดนี่ ทำให้ศิษย์เกิดความรำคาญ ครั้นจะพูดออกมาตรง ๆ ก็ไม่กล้าเพราะยังเกรงใจอยู่ คงเก็บความไม่พอใจนั้นไว้แต่ในใจผู้เดียว คอยหาช่องทางที่จะว่าหรือระบายออกมา แต่ยังไม่ได้โอกาส…สำหรับสามเณรรูปนี้อย่างอื่นๆ แล้วท่านไม่มีอะไรบกพร่อง เสียแต่อย่างเดียว คือมีลักษณะพิการอย่างหนึ่งที่แก้ไม่หาย สิ่งนั้นคือกระดูกสันหลังพิการ หลังโกงตลอดมาแต่เล็กจนโต
ขณะที่พายเรือทวนน้ำขึ้นมาถึงหน้าผาแห่งหนึ่ง มีก้อนผาใหญ่สีเหลือง 3 ก้อน ตั้งอยู่เรียงกันรูปของผานั้นคล้ายกับวัวป่า 3 ตัว ฟุบตัวนอนหมอบอยู่… ใต้หน้าผาเป็นวังน้ำลึกถ่อหยั่งไม่ถึง ศิษย์ต้องออกแรงพายจนเหนื่อยหอบ พอเรือพ้นวังไปศิษย์จึงถามขึ้นว่า ‘’ท่านครับ ผมได้ยินว่าท่านรอบรู้และแตกฉานในพระธรรมยิ่งนักใช่ไหม” สามเณรยิ้มไม่ตอบ เขาคงถามต่อไปอีกว่า ‘’ผมอยากถามท่านสักหน่อย เพราะพ่อเคยบอกไว้นานแล้ว ผมไม่มีโอกาสถามใคร ดังนั้นวันนี้มากับท่าน จึงขอเรียนถามว่า …” สามเณรหันหน้ามาดู และตอบว่า ‘’จะถามอะไรก็ถามมาเถิด หากรู้จะบอกให้ ”
ศิษย์จึงพูดต่อไปว่า ‘’พ่อบอกว่าพระธรรมชื่อโลพกํนั้นเขาว่าดีเหลือเกิน อยากรู้นักว่าพระธรรมบทนี้ดีอย่างไร ท่านรู้ไหมครับ”…สามเณรนิ่งอึ้ง คิดทบทวนความจำว่าอยู่ในพระธรรมบทไหน คิดอยู่ตั้งนานก็คิดไม่ออก คลับคล้ายคลับคลาว่าจะจำได้ แต่ยังคิดไม่ออก หรือว่าพระธรรมบทนี้ไปซ่อนอยู่ในพระธรรมบทใด พระไตรปิฎกส่วนมากทุก ๆ เล่มนั้นได้ผ่านสายตามาจนหมดสิ้น ทำไมเรื่องนี้จึงไม่ทราบเล่า… ด้วยความสงสัยอยากทราบว่าพระธรรมโลพกํ เป็นธรรมเกี่ยวกับเรื่องอะไร ทำให้ท่านระงับใจไว้ไม่ได้จึงบอกศิษย์ว่า ‘’นี่พายเรือไปจอดที่ผานั้นที ฉันจะลองค้นดูพระธรรมที่แกว่า ดูทีว่าเป็นเรื่องอะไร” ศิษย์ดีใจวาดคัดท้ายเรือเข้าเทียบตีนเขา สามเณรขึ้นจากเรือเดินลัดเลาะตามทางเข้า ปีนป่ายขึ้นไปบนหน้าผาจนถึงซึ่งเป็นที่เก็บพระไตรปิฎกมากมาย สามเณรเริ่มลงมือค้นดูจากพระธรรมที่เก็บบรรจุไว้เต็มตู้ ค้นพระธรรมหมดหีบจนครบ ๗ หีบก็ไม่ปรากฏว่าพบธรรมเรื่อง โลพกํ เลย
เมื่อค้นจนอ่อนใจไม่พบจึงกลับลงมาขึ้นเรือ ให้ลูกศิษย์พายล่องกลับยังวัดของตนที่เมืองสร้อยเพื่อตนจะลองค้นจากหอไตรที่วัดอีกครั้งหนึ่ง ซึ่งคราวนี้คงจะพบเป็นแน่…พอเรือมาถึงวัด ท่านก็ขึ้นไปค้นหาพระธรรมที่กล่าวแล้วจากพระธรรมต่าง ๆ ซึ่งเก็บไว้ในหีบพระธรรมในหอไตร ปรากฏว่าค้นไม้พบอีกเช่นกัน…ด้วยเหตุนี้สามเณรรูปนั้นจึงนำเรื่องไปถามอาจารย์ของตนว่า ‘’ท่านสมภารครับ ธรรมโลพกํเป็นเรื่องราวอย่างไรครับ ผมค้นหาจากตู้พระธรรมจนทั่วเมืองสร้อยแล้วไม่พบ ขอท่านอาจารย์ช่วยอนุเคราะห์ด้วยเถิด‘’ สมภารเองเมื่อได้ยินก็เฝ้าคิดแต่ก็คิดไม่ออก จึงถามเรื่องราวแต่หนหลังว่า ต้นตอธรรมบทนี้ใครเป็นผู้กล่าวขึ้น สามเณรก็เล่าเรื่องให้ฟังและบอกว่า ‘’ ศิษย์พายเรือเป็นคนบอกให้ ”
สมภารสั่งให้เรียกศิษย์นั้นไปหา…ปรากฏว่าขณะนั้นแกไม่อยู่ลากลับไปบ้าน จนกระทั่งหลายวันผ่านไป สมภารได้ประมวลเรื่องราวต่างๆ ที่เป็นมาจึงคิดได้ สั่งให้คนไปเรียกสามเณรรูปนั้นมาเมื่อพบท่านๆ จึงบอกว่า ‘’ธรรมโลพกํ นั้นคงไม่มีแน่…ฉันคิดว่าเจ้าศิษย์ของท่านเองมันคงจะโมโหที่ท่านใช้มันพายเรือขึ้นไป‘’ …‘’ครั้นมันจะว่าตรงๆ มันก็คงไม่กล้า…มันจึงกล่าวเป็นคำกระทบกระเทียบเปรียบเปรยให้ท่านเข้าใจสมความแค้นของมัน…โดยมันประมวลจากลักษณะพิการทางกายของท่านเป็นเกณฑ์…แล้วคิดสร้างคำขึ้นคล้ายๆกับคำบาลี แต่ความจริงมันมิใช่คำบาลี…มันเป็นเพียงคำผวนเท่านั้นเอง ลองพิจารณาดูซิ โลพกํ หากแปลกลับมันจะแปลว่า…หลังพระโก ( หลังพระโกง ) เท่านั้นเอง”
…ตกลงหิน 3 ก้อน ที่พบนั้นเลยเป็นคำกล่าวเปรียบเปรยว่าให้สามเณรช้ำใจในการที่ใช้ศิษย์ให้พาย เรือขึ้นน้ำไปเป็นเวลาหลายวัน ผา 3 ผานั้นเลยเรียกว่า ‘’ผาเผียบ”…ส่วนถ้ำที่มีตู้พระธรรมอยู่ ซึ่งสามเณรขึ้นไปค้นพระธรรมจนหมดพระธรรมถึง 7 หีบ โดยไม่พบนั้น ปัจจุบันเรียกว่า ‘’ผาหีบ”…..นิยายเกี่ยวกับผาเผียบและผาหีบ ก็ยุติลงด้วยใจความเพียงเท่านี้
“เผียบ” เป็นภาษาพื้นเมืองภาคเหนือ แปลว่า “เปรียบเทียบ หรืออุปมายกตัวอย่างประกอบ”
(เล่าโดยพระบุญทัศน์ อธิปัญโญ วัดดอกเอื้อง อำเภอเมือง จังหวัดเชียงใหม่)
“การใช้คนนั้นพึงให้เหมาะสมกับความสามารถ และความพอใจ…พึงให้เขาได้พักผ่อนบ้าง…มิฉะนั้นผู้รับใช้จะเสื่อมความนับถือ…และเมื่อทนไม่ไหวและขาดความเกรงใจ…ก็จะถูกกลั่นแกล้งหรือทำให้เสียชื่อเสียงได้“
Credit: lanna.mju.ac.th/ “ทุกภาพ ทุกตัวอักษร มอบเป็นวิทยาทานแด่ทุกท่าน”