มีเมืองแห่งหนึ่ง มีเด็กน้อยคนหนึ่งกำพร้าพ่อและแม่ตั้งแต่ยังเล็ก…อาศัยการขอทานเลี้ยงชีพ ชาวบ้านบางคนก็เมตตาให้ทาน บางคนก็รังเกียจหาทางกลั่นแกล้งเสมอ วันหนึ่งตากวานบ้าน(คำเรียกผู้ใหญ่บ้าน) คิดจะกำจัดท้าวกำพร้า… จึงแนะนำให้ไปทำนาที่ทุ่งนาชายป่าซึ่งไม่มีใครทำกิน เพราะเป็นถิ่นที่ผีดุร้ายอาศัยอยู่ (ความเชื่อ) ท้าวกำพร้าขยันทำนา ขุดดิน ถางป่าอย่างไม่ย่อท้อ ทำให้ภูตผีทั้งหลาย รวมทั้งผีย่าง่ามซึ่งอาศัยอยู่ปลายนา คิดจะจับท้าวกำพร้ากินเป็นอาหาร แต่เทวดาห้ามไว้ และเมื่อผีเหล่านั้นรู้ว่าเป็นพระพุทธเจ้ากลับชาติมาเกิดเป็นท้าวกำพร้าจึงถวายตัวเป็นทาสรับใช้ และได้ช่วยท้าวกำพร้าทำไร่ทำนา ปลูกพืชผักผลไม้
ขณะที่รอการเก็บเกี่ยวข้าว ท้าวกำพร้าได้ออกขอทานตามปกติตากวานบ้านประหลาดใจที่ท้าวกำพร้าไม่ตาย จึงคิดกลั่นแกล้งอีก โดยนำข้าวบ้วนปากมาบริจาคทานเป็นจำนวนมาก ท้าวกำพร้าจึงนำไปนึ่ง แต่ปรากฏว่าข้าวบ้วนปากของตากวานบ้านส่งกลิ่นหอมอบอวล ทำให้ผีทั้งหลายได้กลิ่นพากันมาขอแบ่งกิน ผลการกินข้าวบ้วนปาก ทำให้ท้าวกำพร้ามองเห็นภูตผีทั้งหลายได้
วันหนึ่งท้าวกำพร้านำไซไปดักปลา… แต่ไม่มีปลาติดเพราะผีน้อยขโมยกินหมด ท้าวกำพร้าจึงนำเรื่องนี้ไปปรึกษาผีย่าง่าม ผีย่าง่ามจึงเอาไหมของตน (ขนเพชร)ให้ท้าวกำพร้านำไปทำบ่วงดักไว้ ในที่สุดผีน้อยก็ติดบ่วง ได้ร้องขอชีวิตต่อท้าวกำพร้า… ท้าวกำพร้าจึงได้ปล่อยไป(คุณธรรม)… ต่อมาก็มีสัตว์อื่นๆ มาติดบ่วงสายไหมที่ท้าวกำพร้าดักไว้อีกเช่น เสือ อีเห็น ช้างน้ำ และนาค … ซึ่งสัตว์ทุกชนิดร้องขอชีวิตและยอมเป็นทาสรับใช้ท้าวกำพร้า… ส่วนพญาช้างน้ำได้มอบงาทั้งสองข้างและแก้วมณีให้แก่ท้าวกำพร้า… ซึ่งในงาช้างนั้นมีหญิงสาวคนหนึ่งชื่อนางสีดาอาศัยอยู่ นางได้ออกมาทำอาหารไว้ให้ทุกครั้งที่ท้าวกำพร้าไม่อยู่บ้าน จนท้าวกำพร้าเกิดความสงสัยจึงแอบดูและรู้ความจริง ท้าวกำพร้าได้ทุบงาช้างนั้นเสีย เพื่อไม่ให้นางเข้าไปอยู่ในงาช้างนั้นอีก… และทั้งสองได้แต่งงานกัน
ท้าวกำพร้าไม่ได้ไปขอทานในหมู่บ้านเป็นเวลาหลายวัน ชาวบ้านจึงเกิดความสงสัย พากันไปแอบดูที่กระท่อม เมื่อได้เห็นนางสีดาซึ่งมีรูปโฉมงดงาม ต่างพากันตกตะลึงและโจษขานกันไป… จนทราบไปถึงพระยาพิมพ์ทองเจ้าเมืองอินทปัตถ์ ผู้มีใจพาล (ผิดศีลธรรม) จึงคิดอยากได้นางสีดาเป็นมเหสี ได้ท้าพนัน (ผิดศีลธรรม) ท้าวกำพร้าแข่งขันหลายอย่าง โดยมีเดิมพันว่าถ้าท้าวกำพร้าแพ้จะยึดนางสีดา แต่ถ้าท้าวอินทปัตถ์แพ้จะยอมยกเมืองให้ครึ่งหนึ่ง เมื่อแข่งขันชนไก่ ชนควาย และชนช้าง… ท้าวกำพร้าเป็นฝ่ายชนะทุกครั้ง… ทั้งนี้เพราะได้รับความช่วยเหลือจากนางสีดาภรรยาของท้าวกำพร้าที่ใช้แก้วมณีเรียกสัตว์ต่างๆ ซึ่งยอมเป็นทาสท้าวกำพร้ามาให้ความช่วยเหลือ
… เมื่อชนไก่ ควาย และช้างของเจ้าเมืองตาย… พระองค์ได้บังคับ(ผิดศีลธรรม)ให้ท้าวกำพร้ากินสัตว์เหล่านั้นเสียให้หมด… พญาฮุ่ง(รุ้ง) หรือนาค แปลงตัวเป็นท้าวกำพร้ามากินสัตว์ทั้งสามที่ตายไปให้หมด ทำให้เจ้าเมืองโกรธแค้นท้าวกำพร้ายิ่งขึ้น จึงได้ท้าแข่งเรือกับท้าวกำพร้า พญานาคได้แปลงกายมาเป็นเรือ ช่วยเหลือท้าวกำพร้าอีก แล้วฟาดน้ำถูกเรือของเจ้าเมืองล่ม ในที่สุดเจ้าเมืองผู้ไร้สัจจะก็จมน้ำตาย (กฎแห่งกรรม) เจ้าเมืองได้ไปเกิดเป็นผีแถน แต่มีใจเสน่หานางสีดา และเจ็บแค้นที่ไม่สามารถเอาชนะท้าวกำพร้าได้ จึงวางแผนร่วมกับ บ่างลั่วตัวหนึ่งให้ไปร้องเรียกเอาวิญญาณ(ขวัญ)นางสีดา เมื่อขวัญออกจากร่างนางสีดาก็สิ้นชีวิต ผีน้อยแนะนำไม่ให้เผาร่างของนางและอาสาจะพาวิญญาณของนางสีดาคืนมาให้ได้ จึงไปพบพญาแถนแล้วซ่อนข้องไปด้วย
ต่อมาวิญญาณของนางสีดาได้ไปอยู่กับพญาแถน ทำให้พญาแถนดีใจมากให้รางวัลแก่บ่างลั่ว และได้เลี้ยงสุรา(ผิดศีลธรรม) จนบ่างลั่วเมาไม่ได้สติ ผีน้อยจึงอาสาพาบ่างลั่วไปส่งถึงบ้าน(ตอบแทนบุญคุญ) ระหว่างทางผีน้อยได้หลอกให้บ่างลั่วเข้าไปนอนในข้อง บ่างลั่วรู้เท่าไม่ถึงการณ์จึงทำตามผีน้อยรีบปิดผาข้องแล้วนำมาให้ท้าวกำพร้าผีน้อยได้บังคับให้บ่างลั่วเรียกเอาวิญญาณนางสีดากลับมา เมื่อนางสีดาได้ฟื้นคืนดังเดิมแล้ว ผีน้อยจึงหลอกให้บ่างลั่วแลบลิ้นที่เคยใช้เอาวิญญาณคนมาเป็นจำนวนมาก(ความชั่ว) แล้วตัดลิ้นบ่างลั่วเสีย เพราะเกรงว่ามันจะร้องเรียกเอาวิญญาณคนไปอีก นับตั้งแต่นั้นเป็นต้นมาบ่างลั่วจึงร้องได้ไม่ชัดเจน
เมื่อเจ้าเมืองอินทปัตถ์สิ้นชีพไปแล้ว…ชาวเมืองจึงเชิญท้าวกำพร้าและนางสีดาผู้เป็นภรรยาปกครองบ้านเมืองสืบต่อมา ทั้งนี้เพราะความดีของท้าวกำพร้าและนางสีดาจึงปกครองบ้านเมือง โดยประกอบด้วยคุณธรรมสืบต่อมาอย่างเป็นสุข
.
Credit: คุณพิมล มองจันทร์ สมาชิกเว็บไซต์ gotoknow
www.gotoknow.org/posts/244002